วิหารพระศิวะ




สาเหตุที่ว่าทำไมวิหารของพระศิวะ ที่ประเทศอินเดียนั้นน่าสงสัยว่าเป็นฝีมือของมนุษย์ต่างดาว เผลอๆอาจจะเหมือนผลงานของมนุษย์ต่างดาวยิ่งกว่าพีระมิดที่ประเทศอียิปต์ซะด้วยซ้ำ ต้องลองดูข้อมูลและรายละเอียดเกี่ยวกับวิหารแห่งนี้เสียก่อน แล้วคุณอาจจะคิดว่า หรือว่ามันจะมีมนุษย์ต่างดาวมาช่วยสร้างจริงๆหว่า



วิหารพระศิวะหรือวิหารไกรลาส อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของประเทศอินเดีย ตั้งที่รัฐมหาราษฏระ
รัฐที่ใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศอินเดีย ตัววิหารนั้นอยู่ในอาณาเขตของถ้ำ Ellora ซึ่งประกอบด้วยโบราณสถานอื่นๆ  ทั้งของศาสนาพุทธ และ ฮินดู รวมทั้งหมดกว่า 32 แห่งในบริเวณเดียวกัน โดยวิหารไกรลาสนี้ตั้งอยู่ในถ้ำที่ 16

โดยตัววิหารนั้นถูกสร้างขึ้นเมื่อ 1300 ปีที่แล้ว สมัยจักรวรรดิราษฏรกูฏ (Rashtrakuta) ที่ปกครองโดยราชวงศ์จาลุกยะ ราชวงศ์ที่เรืองอำนาจทางตอนใต้ของประเทศอินเดียในยุคนั้น โดยกษัตริย์คริชนะ ตามตำนานเล่าว่าพระมเหสีของพระองค์นั้นป่วยหนัก จึงสวดอ้อนวอนต่อพระศิวะ โดยอธิษฐานว่าหากรอดตายนั้นจะสร้างวิหารถวายให้พระองค์ เมื่อพระมเหสีนั้นหายดีแล้ว กษัตริย์คริชนะจึงได้เกณฑ์ช่างแกะสลักมาเพื่อสร้างวิหารแห่งนี้ถวายแด่พระศิวะ


ตัววิหารนั้นออกแบบโดยการผสมผสานศิลปะของวัฒนธรรมปัลลวะ (Pallava) และศิลปะจากราชวงศ์จาลุกยะ (Chalukya) เข้าด้วยกัน โดยเริ่มแกะสลักจากด้านบนลงไปด้านล่าง จนได้ตัววิหารที่มีความสูง 19 เมตร ซึ่งเป็นที่เดียวในโลกที่สลักจากข้างบนลงล่าง เพราะโดยปกติแล้วนั้นวิหารที่สลักจากหินทั่วทั้งโลกจะใช้การสลักจากข้างหน้าเข้าไปข้างใน ที่สำคัญวิหารแห่งนี้มันยังสลักจากหินขนาดมหึมาเพียงแค่ก้อนเดียวเท่านั้น

โดยนักประวัติศาสตร์คำนวนโดยประมานการกัน มันว่าจะต้องสกัดหินแล้วขนออกจากพื้นที่ทั้งหมดเป็นจำนวน 4 แสนตัน หากแต่ทว่ามันใช้เวลาสร้างเพียงแค่ 18 ปีเท่านั้น

ถ้าเราลองมาคำนวนตัวเลขง่ายๆจาก สมมติให้ขนหินทุกวันไม่มีวันหยุด ในระยะเวลา 18 ปี ขนวันละ 12 ชั่วโมงต่อวัน ก็จะเท่ากับว่าจะต้องขนหินออกจากวิหารแห่งนี้ในอัตรา 5 ตันต่อชั่วโมง ออกจากพื้นที่แกะสลัก ต่อให้ใช้เทคโนโลยีของยุคปัจจุบันยังไม่น่าจะทำได้เลย นี่ขนาดเรานับแค่ขนหินออกไปทิ้งนะ ซึ่งมันน่าที่จะเป็นขั้นตอนที่ง่ายที่สุด ยังไม่ได้นับว่าขั้นตอนของการแกะสลักนั้นมันน่าที่จะใช้เวลามากที่สุด

นั่นมันก็ชวนทำให้สงสัยว่า เครื่องมือในยุคนั้นที่มีเพียงแค่ ค้อน ลิ่ม และสิ่ว ทำไมถึงสามารถสร้างวิหารแห่งนี้ได้

และสิ่งที่น่าสงสัยที่สุดนั่นก็คือ หินจำนวนกว่า 4 แสนตันนั้นหายไปไหน เพราะนักโบราณคดีนั้นพยายามหาร่องรอยว่าหินที่ถูกสลักออกมานั้นถูกนำไปทิ้งที่ไหน แต่ปรากฏว่าในรัศมีกว่า 100 กิโลเมตรนั้นไม่พบร่องรอยของเศษหินที่ลักษณะเดียวกับวิหารจำนวนกว่า 4 แสนตันที่ว่าเลย

ถ้าเราจะพิจรณาดูว่ามนุษย์เมื่อ 1300 ปีที่แล้ว สามารถทีจะสลักภูเขาหินทั้งลูก แล้วนำเศษหินกว่า 4 แสนตันให้หายไปได้นั้นมันยากทีจะนึกออก แต่ถ้าให้ลองคิดแล้วล่ะก็ บางทีอาจจะพอมีสิ่งหนึ่ง ที่อาจจะเชื่อมโยงได้นั่นก็คือ ในคัมภีร์พระเวทและมหาภารตะนั้นได้กล่าวถึงอาวุธของพระพรหมอยู่อย่างหนึ่ง ที่สามารถทั้ง ขุดลงไปในดิน และทำลายหิน เสร็จแล้วสามารถทำให้หินที่ถูกทำลายนั้นระเหยไปในอากาศได้ ซึ่งก็คงต้องให้เครื่องมืออย่างที่ว่านั้นมีอยู่จริงถึงจะสามารถสร้างวิหารที่อลังการขนาดนี้ได้ เพราะถ้านอกเหนือจากเครื่องมือนี้ก็คงจะเหลือแค่ว่ามีมนุษย์ต่างดาวเอาเทคโนโลยีลงมาช่วยสร้างให้ ถึงพอที่จะดูมีความเป็นไปได้

    ทีนี้เราลองมาดูกันต่อว่านอกจากคำถามที่ว่า มนุษย์ในยุคนั้นสามารถที่จะสร้างได้หรือไม่ เราลองมาดูว่าถ้าหากจะทำลายวิหารแห่งนี้ มนุษย์ยุคก่อนนั้นสามารที่จะทำลายได้มั้ย
    โดยในเวลาอีก 800 ปีต่อมาในช่วงยุคที่อิสลามกำลังยึดครองอินเดีย จักพรรดิ์ออรังเซพแห่งราชวงศ์โมกุล ราชวงศ์ที่เดียวกับที่สร้างทัช มาฮาล และเนื่องจากพระองค์เป็นมุสลิมที่เคร่งครัด ตามตวามเชื่อของศาสนาอิสลามแล้ว ย่อมไม่สามารถให้มีรูปศัการะของ ศาสนาอื่น หรือเทพเจ้าองค์อื่นอยู่ในอาณาจักรของตนได้
    จึงได้สั่งให้คนทั้งหมดกว่า 1,000 คน ทำลายวิหารแห่งนี้ แต่ปรากฏว่าถึงแม้จะใช้เวลาในการทำลายอยู่สามปี แต่ก็สามารถทำความเสียหายได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จนสุดท้ายเมื่อพระองค์ตระหนักได้ว่า ไม่มีทางที่มนุษย์จะทำลายวิหารแห่งนี้ได้ พระองค์จึงได้ยอมแพ้และล้มเลิกความตั้งใจที่จะทำลายวิหารไกรลาสในที่สุด นี่ขนาดในยุคที่มีดินระเบิด กับปืนใหญ่ใช้แล้วนะ ยังสามารถทำลายได้แค่เล็กน้อยเท่านั้น
    ซึ่งก็จะเหมือนกับในกรณีของพีระมิดเมนคาวเร ที่เมืองกิซ่า ประเทศอียิปต์ ที่ถูกกองทัพของศาสนาอิสลามทำลายเหมือนกันและก็ได้ข้อสรุปเหมือนกันที่ว่า มนุษย์นั้นไม่สามารถทำลายได้ ทำได้เพียงสร้างความเสียหายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เสร็จแล้วก็ล้มเลิกความตั้งใจไปในที่สุด


และนอกจากตัวปราสาทข้างบนจะน่าทึ่งแล้ว วิหารแห่งนี้ยังซ่อนความน่าพิศวงไว้ชั้นใต้ดินอีกด้วย เพราะว่าภายใต้วิหารแห่งนี้จะมีทางลับใต้ดินอยู่เต็มไปหมดเหมือนกับพีระมิดห่งกิซ่า แต่ทว่าทางลับใต้ดินที่ลึก กว่า 40-50 ฟุตนั้น แคบเกินกว่าที่คนจะลอดผ่านไปได้ ซึ่งมันทำให้ชวนพิศวงว่าในยุคที่เครื่องมือมีเพียงแค่ค้อนและสิ่ว มนุษย์ในยุคนั้นทำการสลักหินออกเป็นทางยาวเกิน 10 เมตรได้อย่างไรในจุดที่ไม่สามารถเอามือเอื้อมไปถึง และก็ด้วยที่แคบเกินกว่าที่คนนั้นจะลอดผ่านลงไปสำรวจได้ จึงไม่มีใครนั้นสามารถให้คำตอบได้ว่าทางลับใต้ดินนี้มีไว้เพื่ออะไร และทางลับนั้นจะนำไปสู่ที่ไหน ซึ่งก็ไม่แน่ว่าบางทีอาจจะมีเมืองใต้ดินซ่อนอยู่ข้างใต้วิหารแห่งนี้ก็เป็นได้

และวิหารไกรลาสแห่งนี้ ก็ไม่ได้ซ่อนความลึกลับไว้เพียงแค่ชั้นใต้ดิน สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดอีกอย่างนั้น เราสามารถพบได้บนท้องฟ้า โดยหากถ้าเรามองลงมาจากเครื่องบินจะพบเห็นวิหารแห่งนี้ได้อย่างชัดเจน  หากแต่ทว่าความน่าทึ่งของมันก็คือ ถ้าเราดูรูปที่ถ่ายภาพมุมสูงจากทางอากาศ เราจะสามารถพบสัญลักษณ์กากบาทที่อยู่กึ่งกลางของวิหารได้อย่างชัดเจน ซึ่งสัญลักษณ์ที่ว่านี้ก็คือ รูปปั้นสิงโตสี่ตัวที่ยืนเรียงกันอยู่ตรงลานตรงกลางวิหาร และไม่ใช่เพียงแค่นั้นถ้าเราดูแผนผังของตัวปราสาทเปรียบเทียบกับภาพใน google earth จะเห็นได้ว่า วิหารแห่งนี้แกะสลักเป็นรูปสี่เหลี่ยมเป๊ะๆ แม้จะดูจากอากาศและที่สำคัญรูปสี่เหลี่ยมที่ว่ามันยังทอดแนวเป๊ะกับทิศตามแผนที่อีกด้วย นี่ขนาดในยุคนั้นยังไม่มีเข็มทิศใช้นะ ราวกับว่าวิหารแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นการมารก์จุดให้มองเห็นจากทางอากาศ เวลาที่มนุษย์ต่างดาวนั้นกำลังจะลงมายังโลกมนุษย์ แต่ว่าคำถามที่น่าคิดที่สุดก็คือ จะต้องใช้ความแม่นยำทางคณิตศาสตร์ขนาดไหนถึงจะสามารถแกะสลักได้เป๊ะตามทิศแม้จะมองจากทางอากาศขนาดนี้ และมนุษย์เมื่อ 1300 ปีที่แล้วสามารถคำนวนทางคณิตศาสตร์ได้ซับซ้อนขนาดนี้เลยหรือ








การสร้างที่เชื่อว่าต้องแกะสลักหินจากบนลงล่าง เพราะหินจะยึดกับเขา ขุดเจาะลงไปตามลักษณะของภาพมุมสูง ซึ่งมีโครงสร้างตามผังนี้








Comments

  1. ตามความเชื่อในศาสนาอิสลามนั้น มีสิ่งถูกสร้างอีกโลกนึงที่เรียกว่าญิน ซึ่งเราไม่สามารถมองเห็นพวกเขาแต่เผ่าพันธั์ของพวกเขาสมารถมองเห็นเรา อัลลอฮฺได้ให้ความสามารถแก่ญินในการทำในสิ่งที่เกินความสามารถของมนุษย์ได้ ยกตัวอย่างครั้งนึงในสมัยท่านนาบีสุลัยมานหรือโซโลมอน อัลลอฮฺให้ท่านมีความสามารถในการควบคุมญินเพื่อสร่างวิหารต่างๆมากมายอย่างอลังการ มีอยุ่ครั้งนึงนาบีสุลัยมายได้เชิญราชินีบิลกิสจากอาณาจักรในเยเมนมาเยี่ยมท่าน นาบีสุลัยมานได้ถามกับญินบริวารว่า ใครสามารถไปเอาบัลลังก์ราชินีบิลกิสมาไว้ที่นี่ได้บ้างเผื่อนสงมาถึงจะได้ประทับใจ ทันใดนั้นมีญินตนนึงตอบรับคำขอของนาบีสุลัยมาน ทันใดนั้นภายในพริบตาเดียวบัลลังก์อันมหึมาของราชินีบิลกิสก็มาอยู่ต่อหน้าท่าน

    ReplyDelete

Post a Comment