พระเอกฮอลลีวูดชาวเอเซียคนแรก กับประวัติศาสตร์ที่อเมริกาพยายามปกปิด



    ถ้าจะให้พูดถึงคนเอเซียที่เป็นพระเอกหนังฮอลลีวูด พูดได้เลยว่ามีอยู่น้อยมาก เท่าที่มีแค่ เฉินหลง,บรู็ซ ลี, เจ็ท ลี, โจว เหวิน ฟะ แต่ว่าก็ต้องยอมรับว่า เกือบทุกคนที่ได้เป็นพระเอกนั่นก็เพราะฝีมือจากกังฟูหรือฝีมือด้านสตั้นท์แมน

แต่ถ้าจะหาคนที่เป็น A-list ประเภทที่ขายหน้าตากับฝีมือการแสดงแบบ แบรด พิทท์ ,ทอม ครูซ หรือ ลีโอนาโด นั้นแทบจะเรียกได้ว่าไม่มี แล้วถ้าจะให้เอาแบบที่ว่า เป็น sex symbol เป็นดาราฮอลลีวูดได้เพราะความหล่อให้สาวกรี็ดแบบ แบรด พิทท์ นั้นส่วนใหญ่คงจะไม่มีใครนึกกันออก ขนาดบางบทที่ต้องเป็นคนเอเซีย ยังไปเปลี่ยนบทให้เป็นคนฝรั่ง หรือไม่ก็เอาคนฝรั่งมาเล่นเป็นคนเอเซียดื้อๆเลยก็มี

แต่จริงๆแล้วในประวัติศาสตร์ของหนังฮอลลีวูดเมื่อ 100 ปีที่แล้ว นั้นเคยมีชาวเอเซียอยู่คนหนึ่ีงที่เป็นระดับสุดยอดของวงการหนังฮอลลีวูด นั่นคือ Sessue Hayakawa ซึ่งเขานั้นไม่ได้เป็นแค่พระเอกธรรมดาๆ แต่ว่าดังระดับเดียวกับ ชาลี แชปลิน และ ดักลาส แฟร์แบลงก์ ( ดาราฮอลลีวูดคนแรกที่ได้รางวัล oscar ในปี 1929 ) และที่สำคัญเขาคนนี้ถูกจัดว่าเป็น sex symbol คนแรกของหนังฮอลลีวูด แล้วเพราะอะไรทำไม คนที่ดังระดับเดียวกับ หนึ่งในพระเอกหนังที่ดังที่สุดในประวัติศาสตร์หนังฮอลลีวูด แต่ทว่าในปัจจุบันแทบจะไม่เคยมีใครเคยได้ยินชื่อของเขาเลย นั้นก็เพราะเหตุผลที่ถูกซ่อนในประวัติศาสตร์ที่คนอเมริกาพยายามจะไม่พูดถึงมัน


Sessue Hayakawa หรือ Kintaro Hayakawa นั้นเกิดในปี ค.ศ.1886 ที่จังหวัด ชิบะ ประเทศญี่ปุ่น  เขานั้นเป็นลูกชายของตระกูลที่สืบทอดตำแหน่งซามูไรมายาวนาน พ่อของเขานั้นจึงหมายมั่นที่จะให้ลูกชายนั้นเป็นนายทหารของจักวรรดิ์ญี่ปุ่นอันเกรียงไกรในยุคนั้น เลยส่งให้ไปเรียนที่โรงเรียนนายร้อยทหารเรืออันดับหนึ่งของญี่ปุ่นในยุคนั้น แต่ทว่าเขากลับประสบอุบัติเหตุในช่วงที่กำลังฝึกดำน้ำ ทำให้แก้วหูของเขาแตก จนเป็นเหตให้ถูกไล่ออก จากโรงเรียนนายร้อยทหารเรือ ด้วยความเสียใจทีไม่สามารถสืบทอดเจตนารมณ์ของตระกูลซามูไร เขานั้นจึงได้ฆ่าตัวตายด้วยการทำพิธีฮาราคิรี (Seppuku) โดยใช้มีดประจำตระกูลคว้านท้องไป 30 ครั้ง  แต่ทว่าโชคยังดีที่พ่อของเขานั้นช่วยไว้ได้ทัน และหลังจากที่พักรักษาตัวเสร็จแล้วนั้นพ่อของเขาจึงส่งให้เขาไปเรียนด้านเศรษฐศาสตร์และการปกครองที่ มหาวิทยาลัยชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อหวังที่จะให้ลูกชายนั้นกลับมาเป็นนายธนาคาร

ในช่วงที่เขาศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยชิคาโกนั้นเขาได้เป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลของมหาลัยในตำแหน่งควอเตอร์แบ็ก แต่ทว่าสุดท้ายเขานั้นก็ถูกแบนห้ามแข่งเพราะว่าใช้จับคู่แข่งทุ่มด้วยวิชายิวยิตสุ หลังจากที่จบการศึกษาในปี 1912 ช่วงที่เขานั้นกำลังรอจะกลับไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น เขาดันกลับเปลี่ยนใจยืดเวลากลับบ้านออกไปเพื่อที่จะออกท่องเที่ยวที่  LA ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุที่ทำให้ชะตาชีวิตของเขานั้นพลิกผัน โดยในขณะนั้นเขาได้พบกับโรงละครเวธีของชาวญี่ปุ่นใน Little Tokyo ของเมือง los angeles และนั่นก็ได้ทำให้เขานั้นหลงไหลในศิลปะการแสดงละครเวที จึงได้ตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมายชีวิตจากกลับบ้านไปเป็นนายแบงก์ มาเป็นนักแสดงละครเวทีอยู่ที่ LA และในช่วงนี้นี่เองที่เขาได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อในวงการเป็น Sessue Hayakawa ซึ่งคำว่า Sessue นั้นเป็นคำที่เพี้ยนจากคำในภาษาญี่ปุ่นว่า Sesshu ที่แปลว่าทุ่งหิมะ และบทบาทการแสดงละครเวทีของเขานั้นได้ไปเข้าตา Tsuru Aoki นักแสดงชาวญี่ปุ่นผู้บุกเบิกวงการหนังฮอลลีวูด เธอนั้นจึงได้ไปเรียกให้ Thomas H. Ince ผู้กำกับชื่อดังของยุคนั้นมาดู Hayakawa ซึ่งทั้งคู่นั้นประทับใจในลีลาการแสดงของ Hayakawa เป็นอย้่างมาก Thomas H. Ince จึงได้ชักชวนให้เขานั้นเปลี่ยนบาบาทจากนักแสดงละครเวทีมาแสดงหนังใบ้ฮอลลีวูดที่กำลังเพิ่งจะเริ่มบูมในยุคนั้นของอเมริกา และนั่นก็ได้ทำให้ชะตาชีวิตของเขานั้นพลิกผันจากที่ไม่ได้เป็น นายร้อยทหารเรือ นายธนาคาร นักกีฬาอเมริกันฟุตบอล สุดท้ายกลายมาเป็นนักแสดงฮอลลีวูด

หนังเรื่องแรกที่เขาเล่นนั่นคือ The Typhoon ที่ออกฉายในปี 1914 และทันทีที่มันออกฉาย มันก็ได้กลายเป็นหนังฮิตในชั่วข้ามคืน ต่อมาจึงได้เล่นหนังต่ออีกสองเรื่องจากผู้กำกับคนเดิม Thomas H. Ince และหลังจากเรื่องที่ 3 นี่เองที่ทำให้ความเป็นดาวรุ่งของเขาไปเข้าตาของ Jesse L. Lasky เจ้าพ่อของวงการหนังฮอลลีวูดยุคบุกเบิกซึ่งเป็นเจ้าของค่ายหนัง Famous Players-Lasky ( ที่เปลี่ยนชื่อมาเป็น  Paramount Pictures ในยุคปัจจุบัน) L. Lasky จึงเสนอให้เขานั้นเซ็นสัญญากับค่ายหนังของตน

หนังเรื่องที่สองที่เขามาเล่นให้กับ Paramount Pictures คือเรื่อง The Cheat ที่ออกฉายในปี 1915 นั้นได้ส่งให้เขาเป็นดาวจรัสฟ้าของวงการหนังฮอลลีวูด และสาวทั้งอเมริกาในยุคนั้นได้จัดให้เขาเป็นไอดอลแห่งหนัง romantic และ sex symbol คนแรกของดาราหนังฮอลลีวูด ผู้หญิงส่วนใหญ่นั้นพากันบอกว่า Hayakawa นั้นหล่อแบบลึกลับ และมาดที่ดูดีแนวเนี้ยบๆ และความโด่งดังของเขานั้นได้ทำให้เขาเป็นดาราที่ค่าตัวสูงเป็นประวัติการณ์ของยุคนั้น โดยเขาได้ค่าจ้างสัปดาห์ละ 5,000 เหรียญ ซึ่งถ้าเทียบกับค่าเงินในยุคปัจจุบันซึ่งผ่านมา 100 ปีแล้วก็จะเท่ากับ 130,000 เหรียญหรือ 4 ล้านบาทต่อสัปดาห์ รวยถึงขนาดขับรถ Gold plate pierce arrow (ยี่ห้อที่ทำขายสำหรับประธานาธิบดีหรือเซเลปยุคนั้นเทียบกับปัจจุบันก็ประมานโรสรอย ) และสร้างคฤหาสน์หลังที่ใหญ่ที่สุดใน Franklin Avenue ย่านคนรวยใกล้ๆกับฮอลลีวูด

    ถึงแม้ว่าในช่วงยุค 1910-1920 มันจะเป็นช่วงยุคทองของหนังใบ้ตลก แนว ชาลี แชปลิน แต่ถ้าหากจะพูดถึงหนังแนวโรแมนติกดราม่า Hayakawa คืออันดับ 1 ของยุคนั้น หนังสือพิมพ์ในอเมริกาถึงกับลงว่า " ผู้หญิงอเมริกันผิวขาวต่างพร้อมที่จะพลีกายให้กับชาวญี่ปุ่นผู้นี้ แค่ทันทีที่ฮายาคาวะนั้นลงมาจากรถลีมูซีนหน้าโรงหนัง สาวอเมริกานับสิบคนต่างกรูกันเข้าไปห้อมล้อม แต่ละคนนั้นต่างพากันแย่งที่จะแผ่เสื้อคลุมของเธอมากองแทบเท้าของเขา"


ในช่วงยุคนั้นกระแสความเกลียดชังชาวเอเซียผิวเหลือง ที่เรียกว่า Yellow peril  ภัยสีเหลือง นั้นกำลังเป็นประเด็นที่ระอุอยู่ในอเมริกา สิ่งที่เป็นต้นเหตุของความเกลียดชังชาวเอเซียในอเมริกานั้นเริ่มจากการที่คนอพยพชาวจีนที่หลั่งไหลเข้าไปอเมริกาในช่วงนั้นแย่งงานจากคนผิวขาวไปหมด รวมไปถึงสภาวะแวดล้อมในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ทำให้คนผิวขาวไม่ใช่แค่เพียงในอเมริกาแต่รวมไปถึงที่ยุโรปนั้นต่างพากันกลัวว่าชาวเอเซียผิวเหลืองจะก้าวขึ้นมาทัดเทียมกับชาวผิวขาวผู้ซึ่งเป็นเบอร์หนึ่งของโลกในยุคนั้น ในช่วงที่

และไม่ใช่แค่นั้น ช่วงยุคสมัยนั้นยังเป็นช่วงที่จักวรรดิ์ญี่ปุ่นนั้นกำลังแผ่ขยายอำนาจทั้งยึดแมนจูเรียและน่านน้ำทั่วมหาสมุทรแปซิฟิกซึ่ง นั้นจึงทำให้เกิดแรงตรึงเครียดระหว่างประเทศอเมริกาและญี่ปุ่น ถึงขนาดที่ว่าประเทศอเมริกายุคนั้นถอดสิทธิพลเมืองทั้งชาวจีน ญี่ปุ่น และส่งกลับบ้าน รวมทั้งห้ามคนเอเซียอพยพเข้าประเทศ ( ประเด็นความขัดแย้งครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งชนวนที่ก่อให้เกิดปฐมบทของสงครามอ่าวเพริล์ ฮาร์เบอร์ )

ซึ่งแน่นอนว่าการที่แฟนคลับติ่งของฮายาคาวะหลักๆนั้นเป็นสาวอเมริกันผิวขาว แล้วมันดันอยู๋ในช่วงที่กระแสการเหยีดผิวเหลืองนั้นกำลังรุนแรงขนาดหนัก ความโด่งดังและแรงดึงดูดทางเพศของฮายาคาวะนั้นมันย่อมที่จะสร้างความกระอักกระอ่วนและความเคียดแค้นแก่ผู้ชายผิวขาวชาวอเมริกันอย่างมหาศาลอยู่แล้ว

และในที่สุดปี 1917 ประเทศอเมริกาก็ได้ออกกฏหมายห้ามหารอพยพและเปลี่ยนสัญชาติของชาวเอเซียมาที่อเมิกา และไม่ใช่แค่นั้นมันยังรวมไปถึงอกกกฏหมาย  anti-miscegenation ห้ามไม่ให้มีการแต่งงานระหว่างสีผิวอีกด้วย นั่นคือคนผิวขาวแต่งงานกับชาติฝรั่งผิวขาวด้วยกันได้ แต่ไม่สามารถแต่งงานกับชาวเอเซียผิวเหลืองได้ ซึ่งเหตุการณ์นี้มันก็ได้มีผลกระทบมาถึงวงการหนังฮอลลีวูดด้วย  ถึงกับที่ว่าค่ายหนังทั้งหมดนั้นพร้อมใจกันออกกฎ Moral code หรือจรยธรรมประจำวงการ ซึ่งก็จะมีกฏอยู่หลายๆอย่างเช่น จะไม่ทำหนังที่เป็นสื่อลามกอนาจารหรือแสดงการร่วมเพศในแผ่นฟิลม์ แต่ว่ามันดันมีกฎอยู่ข้อนึงที่ล้อตามกฏหมายเหยียดผิวที่ว่านี้ด้วยก็คือ "จะไม่แสดงถึงฉากโรแมนติกหรือความรักระหว่างคนต่างสีผิวข้ามเผ่าพันธุ์" อีกด้วย

ซึ่งนั่นก็ทำให้เกิดผลกระทบแก่ฮายาคาวะอย่างมหาศาล เพราะนั่นก็หมายความว่าเขานั้นจะไม่สามารถแสดงบทที่นางเอกหรือคนรักนั้นเป็นผู้หยิงฝรั่งผิวขาวได้เหมือนอย่างเดิม นอกจากว่าจะไปเปลี่ยนบทให้เป็นคนเอเซียด้วยกันมาเล่น เพราะไม่อย่างงั้นแล้วมันจะเท่ากับว่าผู้กำกับนั้นกำลังชี้นำให้คนดูทำผิดกฎหมาย นั่นเลยทำให้หลังจากนั้นบทที่เค้าได้รับนั้นจะเป็นพวกผู้ร้ายหรือชู้รักที่สุดท้ายนางเอกก็จะต้องกลับไปได้กับพระเอกฝรั่งผิวขาวเสียหมด

ฮายาคาวะนั้นจึงต้องแก้ลำด้วยการออกไปตั้งค่ายหนังของตนเองเพื่อที่จะเขียนบทให้คนเอเซียแสดง แต่ทว่าก็ไม่ประสบผลสำเร็จอันเนื่องมาจากการที่ บรรดายี่ปั๊วโรงหนังที่ฉายนั้นไม่มีใครยอมรับ เพราะว่าต่างก็กลัวกระแสการเหยียดผิวเหลืองที่รุนแรงในช่วงนั้น

สุดท้ายฮายาคาวะจึงต้องย้ายจากแคลิฟอร์เนียไปอยู่ที่อังกฤษและในปี 1922 ซึ่งเขาได้กลับไปสู่จุดดั้งเดิมของเขานั่นก็คือการแสดงละครเวที ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีถึงขนาดที่เคยได้ไปแสดงต่อหน้าพระพักต์ของ King George ที่ 5 แห่งอังกฤษ และได้ออกแสดงทั้งประเทศ ฝรั่งเศษ เยอรมัน และรัสเซีย ซึ่งทุกที่ที่เขาแสดงนั้นผู้ชมต่างพากันบอกว่าเขาคือสุดยอดของนักแสดงชาวอเมริกันในยุคนั้น (ทั้งๆที่ตัวเขานั้นไม่ได้สัญชาติอเมริกัน)

และหลังจากผันตัวกลับไปเล่นละครเวทีอยู่สิบปี

หลังจากจบสงครามโลกครั้งที่สองฮายาคาวะ











Comments