เกาะเรือรบ

     เมื่อไม่นานมานี้ หลายๆคนคงอาจจะได้ยินข่าวเรื่องที่ประเทศจีนถมที่สร้างเกาะเทียมอยู่บ่อยๆ แต่เชื่อมั้ยครับว่า เมื่อเกือบ 130 ปีที่แล้วใกล้ๆกับทะเลจีนใต้เหมือนกันนั้น ประเทศญี่ปุ่นก็เคยเอาคอนกรีตสร้างเกาะเทียมกลางทะเลเหมือนกัน แต่ทว่าในปัจจุบันนั้น กลายเป็นเกาะร้างผีสิงไม่มีคนอยู่อาศัย กลายเป็นเมืองทิ้งร้างที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น โดยเกาะทั้งเกาะนั้นเต็มไปด้วยซากปรักหักพังของตึกที่อยู่อาศัย ไม่มีผู้คนหรือสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ไม่มีแม้กระทั่งต้นไม้ จนบรรยากาศของมันนั้นหลอนวังเวงเหมือนเมืองผีสิง ถึงขั้นขึ้นชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่สุดเฮี้ยนของประเทศญี่ปุ่น และในเมื่อมันเป็นทั้งเกาะร้างและเมืองร้าง  แน่นอนอยู่แล้วว่าเรื่องราวอาถรรพ์ลึกลับนั้น มันเป็นของคู่กันอยู่แล้ว เกาะร้างสุดหลอนที่ว่านี้ก็คือ เกาะฮาชิมะ แต่ว่าก่อนที่จะไปดูเรื่องอาถรรพ์และความเฮี้ยนของเกาะนี้ เราลองไปดูรายละเอียดและประวัติศาสตร์ของเกาะนี้กันก่อนดีกว่า เพราะว่านอกจากประวัติความเป็นมาของมันจะน่าทึ่งแล้ว เกาะแห่งนี้มันยังซ่อนประวัติศาสตร์อันดำมืดของประเทศญี่ปุ่นเอาไว้อยู่อีกด้วย



     เกาะฮาจิมะหรืออีกชื่อที่คนญี่ปุ่นนั้นเรียกกันก็คือ เกาะกุนกันจิมะหรือเกาะเรือรบ ส่วนสาเหตุที่เรียกกันอย่างนี้นั่นก็เพราะว่าถ้าหากเรามองเกาะนี้จากทางชายฝั่ง จะเหมือนกับว่ามีเรือรบขนาดยักษ์มาจอดอยู่ใกล้ๆกับชายฝั่งเลยทีเดียว เกาะฮาจิมะแห่งนี้อยู่ห่างจากเมืองนางาซากิประมาณ 15 กิโลเมตร ตัวเกาะนั้นมีความยาว 480 เมตร และกว้างเพียงแค่ 160 เมตร เท่านั้น โดยรอบของเกาะนั้นจะมีโครงสร้างคอนกรีตขนาดใหญ่ล้อมรอบเกาะ เพื่อป้องกันพายุไต้ฝุ่น และคลื่นลมทะเล นั่นเลยทำให้เกาะแห่งนี้รูปร่างหน้าตาของมันนั้นเหมือนเรือรบไม่มีผิด และพื้นที่ข้างในตัวเกาะนั้นก็จะเต็มไปด้วยซากตึกที่พังทลาย อยู่เต็มไปหมด จากซากปรักหักพังของตึกที่เบียดเสียดกองกันเต็มไปหมดนั้น มันแสดงให้เห็นว่าครั้งหนึ่งเกาะแห่งนี้มันเคยเป็นเมืองที่แออัดระดับไม่แพ้ย่านใจกลางเมืองหลวงเลยทีเดียว


    นั่นก็เพราะว่า ถึงแม้ปัจจุบันมันจะกลายเป็นเมืองร้าง แต่ว่าเมื่อก่อนในช่วงยุคที่เมืองนี้มันพีคๆนั้น มันเคยถูกจัดว่าเป็นเขตุพื้นที่ที่ประชากรหนาแน่นที่สุดของโลกในยุคนั้นมาก่อน ซึ่งมันเคยมีคนอยู่อาศัยมากถึง 5500 คนบนเนื่อที่ เพียงแค่ 40 ไร่เท่านั้น ส่วนสาเหตุที่ว่าแล้วทำไมคนตั้งเยอะขนาดนั้นเข้าไปแออัดกันทำไมบนเกาะพื้นที่แค่นั้น นั่นก็เป็นเพราะว่าตรงผืนดินใต้ทะเลแห่งนี้มันมีแร่ถ่านหินคุณภาพดีจำนวนมหาศาลอยู่ ซึ่งในสมัยก่อนที่ระบบอุตสาหกรรมนั้นจะใช้น้ำมันเป็นแหล่งพลังงานหลักนั้น ถ่านหินนี่ถือได้ว่าเป็นทรัพยากรที่มีค่ามหาศาลถึงขั้นที่มีสมญานามว่าเพชรสีดำเลยทีเดียว บริษัทมิตซูบิชิจึงได้ลงทุนถมที่สร้างเกาะแห่งนี้ขึ้นมาตั้งแต่ปี 1890 ซึ่งในช่วงยุค 1950-1960 นั้นเป็นช่วงยุคที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังพุ่งทะยานมาเป็นระดับโลก หลังจากที่ฟื้นตัวจากสภาวะสงครามโลกครั้ังที่สอง ทำมีความต้องการแร่ถ่านหินเป็นจำนวนมากเพื่อป้อนให้กับระบบอุตสาหกรรมของประเทศที่กำลังขยายตัว เลยทำให้บริษัทมิตซูบิชิต้องขนคนจำนวนมากมาเพื่อขุดแร่ที่เหมืองกลางทะเลแห่งนี้ และนอกจากจะสร้างอาคารที่พักอาศัยกับเหมืองแล้ว บริษัทมิตซูนั้นยังสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกและสาธารณูปโภคไว้อย่างครบครันบนเกาะแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็น โรงเรียน โรงพยาบาล โรงหนัง สระว่ายน้ำ ศุนย์การค้า หรือขนาดร้านปาจิงโกะก็ยังมี ประมานว่าคนงานและครอบครัวที่มาทำงานนั้นไม่ต้องออกจากเกาะนี้ไปไหนเลยทีเดียว และก็เพราะว่าเหมืองแห่งนี้มีถ่านหินจำนวนมหาศาลนั้น ทำให้เศรษกิจบนเกาะนี้คึกคัก ขนาดที่ว่ารายได้เฉลี่ยของตนงานบนเกาะแห่งนี้สูงกว่ารายได้เฉลี่ยของทั้งประเทศถึงสามเท่า (นี่ขนาดในยุคที่เศรษฐกิจประเทศญี่ปุ่นกำลังพุ่งแล้วนะ) ถ้าหากเราว่าสังเกตซากปรักหักพังของตึกที่อยู่อาศัยดีๆ จะเห็นได้ว่าพวดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทันสมัยของยุคนั้นจะถูกทิ้งไว้เกลื่อนกราดเต็มไปหมด นั่นก็เป็นเพราะความมั่งคั่งของคนงานบนเกาะนี้ในยุคนั้นนั่นเอง


    แต่ทว่าหลังจากนั้นอีกไม่นาน เมื่อโลกเข้าสู่ยุคของการใช้พลังงานจากน้ำมันเป็นหลัก ความต้องการแร่ถ่านหินจึงหมดไป ทำให้เหมืองแห่งนี้หมดความจำเป็นอีกต่อไปจนต้องปิดตัวอย่างกระทันหัน และเในเมื่อเหมืองปิดตัวคนงานทั้งหมดจึงได้อพยพย้ายออกจากเกาะนี้กันหมดในเวลาอันรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงอาคารที่รกร้าง จนกลายเป็นซากปรักหักพัง สภาพของมันก็เลยเหมือนเมืองผีสิง ประมานเหมือนพวกภาพหายนะวันสิ้นโลกอะไรอย่างนั้น

      และก็ด้วยบรรยากาศหลอนแบบเมืองผีสิงของมัน จึงได้ทำให้เกาะนี้กลายเป็นอีกหนึ่งโลเกชั่นยอดนิยมของหนังหลายๆเรื่อง ทั้งหนังฮอลลีวูด เรื่อง Jame bond ภาค Skyfall หรือขนาดหนังผีแนวสยองขวัญของไทยเรื่อง ฮาชิมะ โปรเจกต์ ไม่เชื่อต้องลบหลู่ ก็ยังเคยมาถ่ายทำที่เกาะนี้มาแล้ว แต่ว่าเรื่องราวน่าขนลุกของมันนั้นเกิดขึ้นในระหว่างการถ่ายทำหนังของญี่ปุ่นเรื่อง Battle Royale เกมนรก โรงเรียนพันธุ์โหด ซึ่งกองถ่ายของหนังเรื่องนี้ได้มาทำการถ่ายทำที่เกาะแห่งนี้เมื่อปี 2003 แต่ทว่าหลังจากการถ่ายทำเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น  ทางด้านของ คินจิ ฟูกาซากุ ผู้กำกับของหนังเรื่องนี้ ได้ออกมาเปิดเผยในภายหลังว่า " ในระหว่างการถ่ายทำได้พบสิ่งผิดปกติอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะพบคนอื่นที่ไม่ใช่ทีมงานถูกถ่ายติดเข้ามาในฉาก หรือ ฟิล์มเสียทั้ง ๆ ที่เพิ่งใช้งาน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น กองถ่ายยังคงต้องดำเนินต่อไป "

     แต่ทว่าเหตุการณ์ที่น่าหวาดผวาที่สุดในกองถ่าย จนทำให้กองถ่ายต้องหยุดพักอยู่เป็นอาทิตย์ นั่นก็คือ ชิอากิ คูริยามา นักแสดงหญิง ซึ่งรับบทเป็นนักเรียน ในขณะที่เธอกำลังเข้าฉากอยู่นั้น เธอได้ถูกบางสิ่งบางอย่างเข้าครอบงำตัวเธอ

    จากคำบอกเล่าของทุกคนที่เห็นเหตุการณ์บอกว่า ดวงตาของเธอกลายเป็นสีแดงก่ำ และนัยน์ตาของเธอเบิกโพลงดูแข็งกร้าวขึ้น หลังจากนั้นเธอได้พุ่งเข้ามาหา โคอุ ชิบาซากิ  นักแสดงหญิงอีกคน เสร็จแล้วทำการรัดคอเธออย่างแรง พอทางทีมงานเห็นท่าไม่ดี จึงได้เชิญมิโกะหญิงที่เดินทางมาด้วย จัดการขับไล่วิญญาณร้ายจนสำเร็จ

    หลังจากวิญญาณนั้นออกจากร่าง เธอบอกว่า "สถานที่นี้มีดวงวิญญาณที่มีความอาฆาตแค้นอยู่มาก และยากที่จะขจัดออกไปได้ เพราะที่ตรงนี้ คือสถานที่ของพวกเขา"

     นอกจากนี้ เมื่อทีมงานได้สอบถามนักแสดงสาว ชิอากิ ว่าเธอรู้สึกยังไงตอนที่เธอถูกผีสิง เธอบอกว่า "เธอเห็นผู้หญิงผมยาว ลอยผ่านตัวเธอ และหลังจากนั้นเธอก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย" นับเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ความน่าสะพรึงกลัวและความสยองขวัญของทุกคนที่เข้าฉาก

และพอพูดถึงเรื่องของอาถรรพ์หรือผีเจ้าที่นั้น บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมในเมื่อ พอเหมืองถ่านหินปิดตัวคนงานทั้งหมดก็อพยพออกจากเกาะนี้ไปเฉยๆ แล้วมันจะไปมีวิญญาณหวงที่ได้อย่างไร คำตอบนั้นก็คือ จริงๆแล้วก่อนหน้าที่ จะเป็นแรงงานชาวญี่ปุ่นย้ายมาทำงานบนเกาะนั้น ในช่วงยุคสงครามโลกครั้งที่สอง บนเกาะนี้เคยมีคนตายจำนวนมหาศาล

    หลายๆคนคงจะเคยได้ยินเกี่ยกับเรื่อง ความโหดร้ายของจักวรรดิญี่ปุ่นช่วงยุคสงครามโลกกันมาอยู่พอสมควร ทั้งในเรื่องฆ่าสังหารหมู่ชาวจีนที่นานกิง หรือการจับเอาผู้หญิงชาวเกาหลีมาเป็นทาสบำเรอกามขให้แก่ทหารในช่วงที่ญี่ปุ่นยึดเกาหลีมาเป็นอาณานิคม จนกลายมาเป็นความบาดหมางจากปมประวัติสาสตร์ทั้งกับประเทศจีนและเกาหลีมาจนถึงยุคปัจจุบัน  แต่ทว่ามันไม่ใช่แค่นั้น เพราะนอกจากจะจับเอาผู้หญิงมาเป็น comfort girl แล้ว ประเทศญี่ปุ่นนั้นยังได้จับเอาผู้ชายมาใช้แรงงานทาสอีกด้วย


ยุคสงครามโลกครั้งที่สองในช่วงปี 1940-1945 นั้น ญี่ปุ่นได้จับเชลยช่วงสงครามชาวเกาหลี จำนวน 900 คนมาทำงานในเหมืองถ่านหินแห่งนี้ ภายใต้ความลึกกว่าพันเมตร  โดยบังคับให้ทำงานวันละ 12 ชั่วโมง


ชาวเกาหลีตาย 123 คน ชาวจีนตาย 15 คน
ซึ่งก็มีทั้งตายจากโดนบังคับให้ทำในงานที่อันตราย และตายจากการทำงานหนักไม่ได้พัก และก็ตายจากการที่พยายามจะหนีออกไปจากเกาะแห่งนี้


โดยอดีตเชลยสงครามชาวเกาหลีที่รอดตายจากเกาะแห่งนี้ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ทุกๆคนที่ถูกบังคับให้มาทำงานบนเกาะแห่งนี้นั้น คิดที่จะหนีออกไปจากเกาะแห่งนี้กันทุกคน เพราะสถาพการทำงานในตอนนั้นเลวร้ายมากๆ ทั้งเรื่องการใช้แรงงานอย่างหนัก บางครั้งอาหารก็ไม่มีให้กิน ทุกๆคนนั้นเมื่อมองไปที่ชายฝั่ง เห็นแผ่นดินเหมือนอยู่ไม่ไกล หลายคนจึงพยายามที่จะว่ายน้ำหนีออกไปจากเกาะนี้ แต่ว่าก็ไม่เคยมีใครรอดชีวิต และถึงแม้ว่าจะเห็นคนที่ตายจากการหนีออกจากเกาะทุกๆวัน แต่ก็ยังมีคนพยายามที่หนีออกจากเกาะเหมือนเดิมเพราะสภาพแวดล้อมมันเกินที่จะทนไหว จนยอมเสี่ยงตายเอาดาบหน้าดีกว่า และเกาะที่อยู่ข้างๆเกาะแห่งนี้ พวกเชลยจะตั้งชื่อให้ว่าเกาะสุสาน เพราะมันเป็นเกาะที่ทหานญี่ปุ่นนั้นเอาศพของเชลยที่ตายไปฝังไว้ที่เกาะนั้น เกือบทุกๆวันคนที่อยู่บนเกาะเรือรบจะเห็นควันไฟจากการเผาศพคนตายลอยออกมาจากเกาะที่ว่า

ซึ่งปมประวัติศาสตร์ของการจับเชลยชาวเกาหลีมาบังคับใช้แรงงานทาสนี้ ทำให้เกิดประเด็นพิพาทกันในตอนที่ญี่ปุ่นนั้นพยายามที่จะผลักดันให้ เกาะฮาชิมะนั้นขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกกับทางยูเนสโกในปี 2009 เพราะทางญี่ปุ่นนั้นถือว่าเกาะแห่งนี้เป็นความภาคภูมิใจของคนในชาติ เนื่องจากที่ว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคเมจิ และเศรษฐกิจที่รุ่งโรจน์ในยุคโชวะ แต่ทว่าสำหรับคนเกาหลีแล้วนั้นมันคือฝันร้าย ที่ตอกย้ำความเจ็บปวดของคนในชาติ คนเกาหลีใต้นั้นจึงออกมาประท้วงการขึ้นทะเบียนเกาะฮาชิมะนี้เป็นแหล่งมรดกโลก ซึ่งประเด็นความขัดแย้งที่ว่านี้ทั้งประเทศจีนและเกาหลีเหนือนั้นก็เห็นด้วยกับทางเกาหลีใต้ จึงทำให้การเสนอชื่อเกาะฮาชิมะเป็นมรดกโลกนั้นถูกปัดตกไปในปี 2009


แต่ในที่สุดหลังจากที่ทางประเทศญี่ปุ่นพยายามผลักดันอีกครั้ง ในปี 2015 หลังจากที่ประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ไกล่เกลี่ยกันได้ โดยบรรลุข้อตกลงร่วมกันที่ว่าทางเกาหลีนั้นจะยอมให้เกาะฮาชิมะขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าญี่ปุ่นนั้นต้องยอมรับว่า ที่เกาะแห่งนี้เคยมีการบังคับใช้แรงงานทาสจากเชลยสงครามชาวเกาหลีและจีน และระบุรายละเอียดการใช้แรงงานทาสเพิ่มลงไปในทุกอย่างที่เผยแพร่เพื่อโปรโมทการท่องเที่ยวของเกาะฮาชิมะรวมไปถึงเว็บไซต์ สุดท้ายหลังจากที่ทั้งสองประเทศนั้นบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้นั้น ทางองค์กรยูเนสโกจึงได้ขึ้นทะเบียนเกาะฮาชิมะให้เป็นมรดกโลกไปในปี 2015 แต่ว่าทางเกาหลีใต้ก็ยังมีแอบสวนกลับด้วยการทำหนังออกมาในปี 2017 เรื่อง Battleship island ซึ่งเนื้อหาในภาพยนต์นั้นก็จะพูดถึง
https://pantip.com/topic/31169821
https://travel.mthai.com/world-travel/67591.html/gallery





Comments