โมเฮนโจดาโร

https://www.harappa.com/slideshows/mohenjo-daro
https://www.thairath.co.th/content/861300
https://www.mixmagazine.in.th/view.php?ref=00002109

    ถ้าเกิดพูดถึงเรื่องของสงครามนิวเคลียร์ ที่รบกันด้วยระเบิดปรมาณูอาวุธที่ทรงอาณุภาพที่สุดของมนุษย์แล้วนั้น ไม่ว่าใครนั้นต่างก็คงต้องนึกถึงภาพของยุคที่เทคโนโลยีของมนุษย์นั้นได้พัฒนาไปไกลแล้ว ถ้าไม่ใช่ยุคที่ย้อนไปไม่ถึงร้อยปี ก็ต้องนึกถึงภาพของยุคอนาคต แต่ถ้าหากจะบอกว่ามันอาจจะเคยมีสงครามนิวเคลียร์เกิดขึ้นบนโลกของเราใบนี้เมื่อ 4000 กว่าปีที่แล้ว ก็คงจะมีแต่คนบอกว่า นี่เอามาจกการ์ตูนหรือว่าหนัง sci-fi เรื่องไหนเนี่ย เพราะว่ามันดูยังงัยก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เนื่องจากเทคโนโลยีในยุคนั้นไม่ใช่แค่ว่าระเบิดหรือว่าดินปืนยังไม่มีเลย ขนาดที่ว่าเหล็กนั้นยังไม่มีใครผลิตได้เลย เพราะว่ามันเพิ่งจะเป็นช่วงแรกๆของยุคสัมฤิทธิ์ แล้วมันจะไปมีระเบิดนิวเคลียร์ทีเพิ่งจะสร้างได้ก็ยุคสงครามโลกครั้งที่สองได้อย่างไร นอกซะจากว่าเป็นระเบิดนิวเคลียร์ของมนุษย์ต่างดาว หรือไม่ก็ของมนุษย์ยุคปัจจุบันเดินทางข้ามเวลาแล้วเอาระเบิดนิวเคลียร์ติดตัวไปด้วย
   แต่ว่าจะเชื่อมั้ยครับว่า มีนักประวัติศาสตร์และนักทฤษฏีสมคบคิดบางคนนั้นมีความเห็นว่า ที่เมืองโมเฮนโจดาโร ของอารยธรรมอินเดียโบราณนั้นอาจจะเคยมีสงครามนิวเคลียร์เกิดขึ้นเมื่อ 4000 กว่าปีที่แล้ว ซึ่งในวันนี้เราจะมาดูกันว่า เพราะอะไร ทำไมคนเหล่านี้ถึงได้เชื่อมโยงระหว่างสงครามนิวเคลียร์และมนุษย์ต่างดาว เข้าหาอารยธรรมโบราณของอินเดียได้อย่างไร และจะวิเคราะห์ต่อว่าสิ่งที่เป็นหลักฐานที่ทำให้พวกเขาเหล่านี้เชื่อนั้นมันมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน

ปี 1920 ในขณะที่ R.D. Bernerji นักประวัติศาสตร์แชาวอินเดีย กำลังค้นหาสถูปของศาสนาพุทธอยู่นั้น โดยเขานั้นค้นหาอยู่ที่รัฐสินธุ ประเทศปากีสถาน ตรงแถบลุ่มแม่น้ำสินธุ หรือ indus valley แต่ทว่าสิ่งที่เขาพบนั้นกลับไม่ใช่สถูปของศาสนาพุทธ แต่ว่ามันคืออารยธรรมที่หายสาปสูญไปเมื่อ 4000 ปีที่แล้วของอินเดีย
นั่นก็คือเมืองโมเฮนโจดาโร เมืองคู่แฝดของอารยธรรมฮารัปปะที่อยู่

ซึ่งจัดได้ว่าเป็นอีกหนึ่งอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดของโลกอีกอายธรรมหนึ่ง ร่วมยุคสมัยเดียวกันกับอารยธรรมเมโสโปเตเมียและอียิปต์ และร่องรอยความเจริญและยิ่งใหญ่ของมันนั้นก็ถือได้ว่าไม่แพ้เมืองทั้งสองแห่งนี้เลยทีเดียว นั่นก็เพราะว่าถึงแม้ว่ามันจะเป็นช่วงแรกๆขัติศาสองยุคสำริด แต่ว่าการวางผังเมืองของมันนั้น มีการจัดวางแบ่งโซนจำแนกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีทั้งอาคารบ้านเรือน พื้นที่อาคารสาธารณะ อาคารทางศาสนา ถนน ท่าเรือ ระบบชลประทาน พร้อมด้วยระบบระบายน้ำ  เพื่อสำหรับรับน้ำที่ระบายจากบ้านเรือน

อีกทั้งยังมีการขุดค้นพบโบราณวัตถุ รูปแกะสลัก เครื่องประดับ สร้อยทองคำ สร้อยลูกปัด ซึ่งบ่งบอกถึงสภาพชีวิตที่ดีของประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้อย่างชัดเจน แต่แล้วอยู่ๆ ทำไมเมืองที่มีความเจริญแห่งนี้กลับหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์

นั่นก็เลยทำให้เกิดข้อสันนิษฐานว่า อาจจะเป็นชาวอารยันมารุกรานจนเมืองแห่งนี้ได้ล่มสลายลลงไป แต่ทว่าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาของหลักฐานที่ชาวอารยันอพยพจากแถวอัฟกานิสถานลงมาแถบลุ่มแม่น้ำสินธุนั้น เกิดขึ้นหลังจากที่เมืองโมเฮนโจดาโรแห่งนี้ล่มสลายไปนานกว่า 300 ปี จึงทำให้ข้อสันนิษฐานนี้ไม่น่าที่จะเป็นไปได้ ทำให้นักประวัติศาสตร์กระแสหลักนั้นเชื่อกันว่าสาเหตุที่เมืองแห่งนี้ล่มสลายไปนั้นน่าจะมาจากภัยธรรมชาติ เช่นน้ำท่วม หรือ เกิดโรคระบาด

แต่แล้วทีมนักสำรวจนั้นก็ได้พบกับสิ่งที่น่าประหลาดใจ นั่นก็คือ จากการขุดค้นพบเมืองโมเฮนโจ ดาโร แห่งนี้ เมื่อขุดลึกลงไปถึงระดับพื้นถนน ทีมนักสำรวจก็ได้พบเข้ากับโครงกระดูกของผู้คนจำนวนมากที่กระจัดกระจาย มือของผู้คนหลายคู่ยังคงกุมมือกัน ศพของผู้คนทั้งหมดไม่ได้ถูกฝัง และยิ่งไปกว่านั้นเมืองที่ใหญ่ขนาดนี้ นักประวัติศาตร์ได้คำนวนกัยว่าเมืองระดับนี้จำนวนของคนที่อยู่อาศัยอย่างน้อยที่สุดไม่น่าที่จะต่ำกว่า 40,000 คน หากแต่ทว่าจำนวนของโครงกระดูกที่พบนั้นกลับมีเพียงแค่ 44 ศพ


และแล้วคำตอบที่ชวนสงสัยก็ปรากฎขึ้น เมื่อกระดูกของซากศพที่ถูกค้นพบบางส่วนได้ถูกนำไปเข้าห้องแล็บที่โซเวียต เพื่อตรวจสอบหาสาเหตุการตายของคนเหล่านี้ สิ่งที่พบคือสารกัมมันตภาพรังสีที่มีความเข้มข้นสูง มากกว่าระเบิดรังสีระเบิดปรมาณูที่ถล่มเมืองฮิโรชิมา และเมืองนางาซากิ ของประเทศญี่ปุ่นถึง 50 เท่า มันหมายความว่าอย่างไร...? 



ในประวัติศาตร์ที่ผ่านมาของมนุษย์ชาตินั้นไม่เคย มีใครที่จะได้รับรู้ถึงผลกระทบของระเบิดนิวเคลียร์ จนกระทั่งปี 1945 เมื่อระเบิดนิวเคลียร์ทั้งสองลูกนั้นถูกหย่อนลงไปที่ฮิโรชิม่าและนางาซากิ ตอนสงครามโลกครั้งที่สอง นั่นคือครั้งแรกที่มนุษยชาตินั้นได้รับรู้ถึงหายนะ การทำลายล้างและผลที่ตามมาของอาวุธที่ทรงพลังที่สุดในโลกชนิดนี้

แต่ทว่าพันกว่าปีที่แล้ว ชาวอินเดียเคยได้อธิบายและเขียนถึง ปรากฎการณ์ของผลที่่เกิดขึ้นหลังจากการระเบิดของอาวุธนิวเคลียร์ เอาไว้อย่างละเอียดและแม่นยำจนน่าประหลาดใจ ราวกับว่าคนที่เขียนนั้นได้เห็นกับตา และอยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง
โดยในมหาภารตะยุทธนั้น ได้มีการเขียนถึง


ในตอนที่โทรณาจารย์ได้สอนวิชาอาวุธพรหมศิรัส (Brahmasiras) ให้กับอรชุนนั้น  ได้มีการบรรยายถึงอาวุธอันทรงพลังของพระพรหมชนิดนี้ไว้ในตำนานว่า

อาวุธชิ้นนี้มันถูกขับเคลื่อนด้วยพลังจากจักวาล หลังจากที่มันพุ่งตกลงมาจากท้องฟ้า มันทำให้เกิดเปลวไฟบรรลัยกัลป์ สว่างเจิดจ้าและมีความร้อนราวกับดวงอาทิตย์ขึ้นพร้อมกันนับพันดวง พุ่งออกไปทุกทิศทาง หลังจากที่เปลวไฟระเบิดเกิดขึ้นแล้วนั้นมันได้ก่อให้เกิดเถ้าควันที่ใหญ่ราวกับก้อนเมฆรูปแท่งเสาพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า แล้วกลุมควันนั้นได้กระจายตัวออกเป็นวงแหวนบนท้องฟ้า จนรูปร่างมันเหมือนกับร่มขนาดมหึมา กลุ่มเถ้าควันที่อยู่บนท้องฟ้านั้นมีมหาศาลจนถึงขนาดทำให้นกที่บินบนท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีขาวจากฝุ่นละอองที่ปกคลุม ซากศพของคนที่ล้มตายจากการระเบิดนั้น ร่างกายถูกเผาไหม้จนเกรียมเป็นเถ้าถ่าน ส่วนคนที่รอดตายจากการระเบิดนั้นผมเผ้าและเล็บจะหลุดร่วงจากร่างกายจนหมด พลังของการระเบิดนั้นถึงกับทำให้ไหแจกันนั้นแตกกระจายแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในรัศมีของการระเบิด หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง พืชพรรณธัญญาหารนั้นก็จะถูกปนเปื้อนพิษจนไม่สามารถกินได้

ซึ่งถ้าดูจากที่อธิบายมานั้น จะเห็นได้ว่าทุกอย่างนั้นมันสอดคล้องกับผลที่เกิดจากการระเบิด และผลที่ได้รับจากกัมมันตภาพรังสีของอาวุธนิวเคลียร์เอาไว้ได้ละเอียดแม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับว่าผู้เขียนนั้นเดินทางข้ามเวลานับพันปีมาอยู่ใน

แต่ว่าสิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นนั่นก็คือ

กลุ่มนักสมคบคิดเสนอว่า มีการค้นพบหลักฐานจากอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ (Indus Civilization) ที่รุ่งเรืองอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย แถบประเทศปากีสถาน หรือที่เรารู้จักกันในชื่อของอารยธรรมฮารัปปา (Harappa) ว่าอาจจะเคยเกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้นในนครโมเฮนโจ-ดาโร (Mohenjo-Daro) ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองเอกของวัฒนธรรมฮารัปปาด้วยก็เป็นได้ครับ

หลักฐานที่นักสมคบคิดใช้เสนอว่าอาจจะเกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้นในโมเฮนโจดาโรก็คือ การค้นพบศพจำนวนมหาศาลนอนเหยียดยาวอยู่บนถนน บ้างก็จับมือกันประหนึ่งว่าพวกเขาเสียชีวิตพร้อมกันจากหายนะครั้งใหญ่อะไรบางอย่าง นอกจากนั้น ศพเหล่านี้ยังไม่เน่าเปื่อยและไม่ถูกสัตว์ป่ากัดแทะอีกด้วย


เมืองโมเฮนโจ ดาโร นับได้ว่ามีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมากโดยเมืองได้ถูกก่อสร้างโดยชาวดราวิเดียน ซึ่งเป็นกลุ่มชาวพื้นเมืองเดิมของประเทศอินเดีย ซึ่งจากการขุดค้นพบทำให้ทราบได้ว่าเมืองโมเฮนโจ ดาโร นับเป็นเมืองที่มีความเจริญอย่างมากในอดีต โดยดูได้จากการวางระบบผังเมือง ซึ่งมีการจัดวางแบ่งโซนจำแนกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีทั้งอาคารบ้านเรือน พื้นที่อาคารสาธารณะ อาคารทางศาสนา ป่าช้า ท่าเรือ ถนน ระบบชลประทาน พร้อมด้วยระบบระบายน้ำสอง  เพื่อรับน้ำที่ระบายจากบ้าน

อีกทั้งยังมีการขุดค้นพบโบราณวัตถุ รูปแกะสลัก เครื่องประดับ สร้อยทองคำ สร้อยลูกปัด ซึ่งบ่งบอกถึงสภาพชีวิตที่ดีของประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้อย่างชัดเจน แต่แล้วอยู่ๆ ทำไมเมืองที่มีความเจริญแห่งนี้กลับหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ อย่างน้อยก่อนที่จะล่มสลายก็น่าจะทิ้งบางสิ่งบางอย่างเอาไว้เพื่อที่จะแสดงให้เห็นถึงความเจริญในอดีต แต่เมืองนี้ไม่มีเลย เกิดอะไรขึ้นกับเมืองนี้กันแน่...?




 








Comments